ศูนย์เฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม กรมชลประทาน
โทรศัพท์
0-2241-3350
โทรสาร
0-2241-3024
Web
page :
http://www.rid.go.th/flood
E-mail :
flood44@mail.rid.go.th
สรุปการระบายน้ำในทุ่งฝั่งตะวันออก
ผ่านคลอง 13
14
-------------------------
คลิกเพื่อดูแผนที่
1.
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงให้ข้อเสนอแนะเรื่องการระบายน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก
ผ่านคลองระพีพัฒน์ และคลอง
13
14 เพื่อลดปริมาณน้ำที่ผ่านกรุงเทพมหานครให้น้อยลงได้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2542
เป็นต้นมา
2.
กรมชลประทานรับสนองพระราชดำริ โดยการขุดลอกช่องทางระบายน้ำที่จะรับน้ำจากคลองระพีพัฒน์(แยกใต้)
ผ่านคลอง 1 อ. คลองผักขวาง และ
คลอง 14
ในเขตโครงการชลประทานรังสิตเหนือ
พร้อมทั้งก่อสร้างอาคารบังคับน้ำเพิ่มเติม 4 แห่ง
คือ ท่อระบายน้ำรับน้ำจากคลองระพีพัฒน์
แยกใต้
คลอง 1 อ. คลอง 2 อ.
ประตูระบายน้ำในคลองระพีพัฒน์แยกใต้
และประตูควบคุมน้ำในคลองรังสิต
เพื่อควบคุมน้ำมิให้ไหลเข้าสู่คลองรังสิตช่วงธัญญบุรี
และจุฬาลงกรณ์ การก่อสร้างแล้วเสร็จ
เมื่อ ปี 2545
3.
วิธีการดำเนินการควบคุมปริมาณน้ำผ่านคลองดังกล่าว
ดังนี้
-
รับน้ำจาก แม่น้ำป่าสัก
บริเวณเหนือเขื่อนพระรามหก ผ่าน
ปตร.พระนารายณ์ ได้เต็มที่ประมาณ
210 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
-
ระบายน้ำผ่าน ปตร.พระศรีเสาวภาค (ที่ อ.หนองแค)
ลงสู่คลองระพีพัฒน์แยกใต้ (คลอง 13)
ได้เต็มที่ 80
ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (แต่ระบายสูงสุด เมื่อ 14 กันยายน
2545 ประมาณ 110
ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ทำให้ระดับน้ำล้นชานคลองและจะเริ่มข้ามคันคลอง 26 กันยายน
2545)
-
ระบายน้ำผ่าน ทรบ. คลอง 1อ.
ได้เต็มที่ประมาณ 10 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ระบายลงปากคลอง 14 ผ่าน ทรบ.
คลองผักขวาง
-
ระบายน้ำผ่าน ปตร.คลอง 2 อ.
ได้เต็มที่ ประมาณ 20
ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ระบายลงคลอง
14 บริเวณท้ายอาคารอัดน้ำกลางคลอง
14
-
ระบายน้ำลงคลองรังสิต ผ่าน ปตร.พระธรรมราชา ที่สร้างใหม่ ได้เต็มที่ ประมาณ 40
ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
-
ปิด ปตร.กลางคลองรังสิต (ที่สร้างใหม่) ระหว่างคลอง 12 และ
คลอง 13 เพื่อเร่งผลักดันน้ำที่รับจาก ปตร.พระธรรมราชา และคลอง 14
ให้ไปทาง ปตร.เสาวภาผ่องศรี (องครักษ์) และคลอง
15
16 17
-
ปริมาณน้ำส่วนที่เหลือในคลองระพีพัฒน์แยกใต้
จะส่งผ่านไซฟอนพระธรรมราชา
ผ่านคลอง 13 ไปถึง
ไซฟอนคลอง 6 วาสายล่าง ปริมาณน้ำจะระบายลงคลองหกวาสายล่าง
ส่วนที่เหลือไประบายทิ้งที่ปลายคลอง 13 (ที่เขตหนองจอก)
ลงคลองแสนแสบ
-
ปริมาณน้ำที่รับจากคลองรังสิต ผ่านเข้าคลอง 14
15 และ 16 จะไประบายผ่านคลอง 6 วาสายล่าง และ ระบายต่อผ่านคลอง 14 15
16 17
ไปลงคลองบางขนาก หรือคลองแสนแสบ และต่อเนื่องไปเข้าคลองนครเนื่องเขต
และคลองพระองค์ไชยานุชิต
4.
ปริมาณน้ำที่ผ่านระบบคลองต่างๆ
ดังกล่าวจะไหลเข้าสู่สถานีสูบน้ำริมแม่น้ำบางปะกงที่สถานีสูบน้ำเสาวภาผ่องศรี
สถานีสมบูรณ์ สถานีบางขนาก
สถานีท่าไข่
และสถานีสูบน้ำริมคลองชายทะเล
ที่สถานีสูบน้ำชลหารพิจิตร
คลองด่าน 2 เจริญราษฎร์
บางปลา-บางปลาร้า ฯลฯ
5.
อัตราการระบายน้ำสูงสุดผ่านสถานีสูบน้ำ สรุปได้ดังนี้คือ
-
สถานีสูบน้ำริมแม่น้ำบางประกง
มีกำลังสูบสูงสุดได้ ประมาณ 12.50
ล้านลูกบาศก์เมตร สามารถสูบระบายได้จริง ประมาณ
6 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวัน หรือประมาณ ร้อยละ 50
-
สถานีสูบน้ำริมคลองชายทะเล
มีกำลังสูบสูงสุดได้ ประมาณ 25
ล้านลูกบาศก์เมตร
สามารถสูบระบายได้จริง ประมาณ
16 ล้านลูกบาศก์เมตร ต่อวัน
หรือประมาณ ร้อยละ 55
6.
ประเด็นปัญหาที่กำลังการสูบระบายน้ำได้ไม่เต็มที่
คือ
-
ระดับน้ำสูงสุดในทุ่งและคลองต่างๆ
ในพื้นที่ตอนกลางของทุ่งฝั่งตะวันออก (บริเวณเขตหนองจอก
มีนบุรี) อยู่ที่ระดับ ประมาณ
+1.30 ม.(รทก.)
ในขณะที่ระดับน้ำริมคลองชายทะเล
บริเวณหน้าสถานีสูบน้ำอยู่ที่ระดับ ประมาณ -0.20 ม.(รทก.)
จะเห็นว่า ความลาดเทของผิวน้ำในคลองที่ไหลเข้าสู่สถานีสูบน้ำต่างๆ
อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 1:25,000
ถึง 1: 30,000
ซึ่งเป็นลาดของผิวน้ำที่ไหลช้ามากหรือไม่ไหลเลย จึงทำให้ปริมาณน้ำไหลเข้าสู่สถานีสูบน้ำต่างๆ
ได้ช้ามาก และไม่ทันต่อกำลังสูบของเครื่องที่มีอยู่
-
ปริมาณน้ำที่ส่งมาจากคลองระพีพัฒน์แยกใต้เข้าคลอง 14
และคลองรังสิต
ที่สามารถส่งได้โดยเฉลี่ยที่ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับชาวนาและชาวสวน
ได้ไม่เกิน 60
ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที หรือ
ประมาณวันละ 5
ล้านลูกบาศก์เมตร
ซึ่งจะเห็นว่า น้อยกว่ากำลังการสูบของสถานีโดยรอบที่มีมากถึงวันละ 41
ล้านลูกบาศก์เมตร (ถ้าไม่มีฝนตกในพื้นที่เพิ่มเติม
ปริมาณน้ำ จำนวนนี้จะไม่เพียงพอต่อการสูบ)
7.
แนวทางการแก้ไขวิธีการผันน้ำเข้าสู่ระบบคลอง 13
14
-
การเพิ่มปริมาณน้ำผ่านคลองระพีพัฒน์
ให้มากขึ้นเกินขีดความสามารถของคลองจะเพิ่มได้ไม่มากกว่าที่เป็นอยู่
เนื่องจากระดับน้ำจะล้นคันคลอง
บริเวณสวนส้มทางด้านปลายคลองระพีพัฒน์แยกใต้ จึงต้องคงการรับน้ำจาก ปตร.พระนารายณ์ อยู่ในเกณฑ์ 120
150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที (นอกจากนี้ยังมีน้ำหลากจากทุ่งบางนา มาเพิ่มเติมใน
คลอง 14 ด้วย)
-
ถ้าต้องการเพิ่มปริมาณน้ำเข้าสู่ระบบคลอง 14
ให้มากขึ้น
มีการรับน้ำได้ทางเดียวคือ
การรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาผ่าน ปตร.จุฬาลงกรณ์
ผ่านคลองรังสิตไปสู่ระบบคลอง
14
15 16
ซึ่งการดำเนินการโดยวิธีนี้ไม่สามารถบังคับ ปริมาณน้ำหลากเข้าคลอง 2 -12
ทางฝั่งใต้ของคลองรังสิตได้ และปริมาณน้ำจากคลอง 2 12 จะไหลเข้าไปปะทะกับแนวคันกั้นน้ำตามพระราชดำริ
ซึ่งจะเพิ่มระดับน้ำด้านนอกคันกั้นน้ำตั้งแต่คลองสองสายใต้
จนไปจรด คลองประเวศบุรีรมย์
และจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมด้านนอกคันพระราชดำริอย่างรุนแรงได้
ดังนั้น วิธีนี้จึงไม่สามารถที่จะรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา
ผ่านระบบคลอง 14 ได้โดยตรง
-
ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำจากระบบคลอง 14
ต่างๆ เข้าสู่สถานีสูบน้ำริมชายทะเลด้วยการติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ
บริเวณหน้าสถานีสูบน้ำ (บริเวณใต้สะพาน)
ทุกแห่ง จะสามารถเพิ่มปริมาณการระบายน้ำได้จำนวนหนึ่ง
แต่อาจจะไม่มาก
เพราะปริมาณน้ำที่ไหลระบบคลอง 14
มีจำกัดประมาณวันละ 5
ล้านลูกบาศก์เมตร เท่านั้น
-
ขณะนี้กรมชลประทาน ได้เร่งไปติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ
บริเวณใต้สะพานหน้าสถานีสูบน้ำเจริญราษฎร์ แล้ว 4 เครื่อง
สามารถผลักดันน้ำได้ตั้งแต่ บ่ายวันที่
7 ตุลาคม
2545 เป็นต้นไป และจะพิจารณาติดตั้งที่สถานีสูบน้ำคลองด่าน 2
เพิ่มเติมต่อไป
-
กรมชลประทาน
จะพิจารณาเพิ่มเครื่องผลักดันน้ำ
ในบริเวณจุดที่สามารถดำเนินการได้
และมีปริมาณน้ำเพียงพอทุกแห่ง
โดยเร่งด่วนต่อไป
-----------------------
กรมชลประทาน
7
ตุลาคม
2545