เรื่อง          : ติดตามและประสานงานกับการประปานครหลวง เพื่อรับมือสถานการณ์ภัยแล้ง
      วัน เวลา    : 23 ตุลาคม 2557
      สถานที่      :
 
   
   
   
           ตามที่ ได้มีการประชุมร่วมกัน 3 กระทรวง คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เพื่อร่วมกันแก้ไขวิกฤตน้ำแล้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 นั้น ทางกรมชลประทานและการประปานครหลวง ได้ติดตามและประสานงานกันอย่างใกล้ชิดเพื่อ
รับมือกับสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้น โดยนำบทเรียนในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มาเตรียมแผนป้องกันด้วยการบริหารจัดการ และในวันนี้ จึงเดินทาง
มาเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท เพื่อติดตามและดูสภาพการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา พร้อมทั้งหารือกับกรมชลประทาน ที่สำนักชลประทานที่ 12
จังหวัดชัยนาท โดยมี ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา และนายเนรมิตร เทพนอก ผู้อำนวยการ ส่วนจัดสรรน้ำ
และบำรุงรักษา สำนักชลประทานที่ 12 บรรยายสรุปสถานการณ์น้ำและแผนการบริหารจัดการน้ำลุ่มเจ้าพระยาในช่วงฤดูแล้ง
           ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารจัดการน้ำและอุทกวิทยา กล่าวว่า แผนการจัดสรรน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาฤดูแล้งปี 2557/58 น้ำใช้การ
ได้ของเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ 5,035 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน 740 ล้าน ลบ.ม. เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ 815 ล้าน ลบ.ม. รวมปริมาณน้ำ
ใช้การได้ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 6,590 ล้าน ลบ.ม. เก็บสำรองใช้สำหรับฤดูฝน ปี 2558 จำนวน 3,690 ล้าน ลบ.ม. เพื่อการอุปโภคบริโภค 1,100 ล้าน ลบ.ม.
ระบบนิเวศน์และอื่นๆ 1,400 ล้าน ลบ.ม. คงเหลือใช้การได้เพื่อการเกษตรในลุ่มเจ้าพระยา 400 ล้าน ลบ.ม. ไม่ส่งให้ทำนา เน้นส่งเสริมการปลูกพืชไร่
พืชผัก 820,000 ไร่
            นายธนศักดิ์ วัฒนฐานะ ผู้ว่าการการประปานครหลวง (กปน.) กล่าวว่า สิ่งที่เป็นห่วง คือ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากน้ำจากเขื่อนใหญ่ที่จะส่งมา
อาทิ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ปีนี้น้ำน้อยกว่าปีที่ผ่าน และลุ่มน้ำแม่กลองก็มีน้ำน้อยเช่นเดียวกัน ประกอบกับความต้องการใช้น้ำ
ภาคเกษตรกรรมในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาค่อนข้างสูง ทำให้ปลายน้ำซึ่งต้องการปริมาณน้ำในการช่วยผลักดันน้ำเค็มและผลิตน้ำประปาอยู่ในภาวะเสี่ยง อย่างไร
ก็ตาม ขอยืนยันว่า จะบริหารจัดการให้ดีที่สุด เพื่อผลิตน้ำประปาให้บริการแก่ประชาชนในพื้นที่ให้บริการทั้ง 3 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี
และสมุทรปราการ