ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม
ที่ต้องอาศัยน้ำเป็นปัจจัยหลักสำคัญในการทำการเกาตรให้ได้ผลผลิตดีและมีคุณภาพ
แต่ด้วยปัญหาภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินและส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่การเกษตร
โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่นอกเขตชลประทานซึ่งไม่มีระบบคลองส่งน้ำและคลองระบายน้ำ
เกษตรกรซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศจึงได้รับผลกระทบโดยตรงทำให้มีฐานะยากจน
รัฐบาลภายใต้การดำเนินการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีจึงได้ประกาศวาระแห่งชาติ
จะขจัดความยากจนให้หมดไปจากประเทศไทย ภายใน 6 ปี
จากกการแถลงนโยบาย
ด้านการเกษตรต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2544 สรุปว่า จะให้มีการพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารการจัดการทรัพยาการน้ำให้เหมาะสมกับพื้นที่และสอดคล้องกับระบบการผลิต
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดยุทธศาสตรืเพื่อช่วยแก้ปัญหาความยากจน
โดยการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการเกษตร
จากข้อมูลทางสถิติพบว่า
เกษตรกรที่ทำการเกษตรในพื้นที่ที่น้ำชลประทาน มีรายได้มากกว่าพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทานถึง
3-4 เท่า แต่ในปปัจจุบันพื้นที่ถือครองทางการเกษตรของประเทศทั้งหมด
131 ล้านไร่ มีเพียงประมาณ 22 ล้านไร่เท่านั้น ที่มีน้ำต้นทุนจากอ่างเก็บน้ำจัดสรรให้ปีละ
59,900 ล้านลูกบาศก์เมตร เพราะฉะนั้นยังคงมีพื้นที่อีด 109 ล้านไร่ที่ยังต้องการน้ำและระบบชลประทานเพื่อทำการเกษตร
การอุปโภคบริโภคและการใช้น้ำด้านอื่นๆ
การพัฒนาระบบชลประทาน
อันได้แก่ การกักกเก็บน้ำ การกระจายน้ำ และการระบายน้ำ ถือเป็นภารกิจหลักที่กรมชลประทานมุ่งมั่นดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง
น้ำท่วมและจัดทำระบบชลประทานให้ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรทั้งหมด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยขจัดความยากจนของเกษตรกรได้
และยังคงเป็นการเสริมศักยภาพในการทำให้ประเทศไทยเป็นครัวของโลกได้เป็นอย่างดี
ด้วยเหตุนี้
จึงได้มีการพัฒนาโครงข่ายน้ำและการเกษตรแบบบูณณาการ ภายใต้โครงการ"น้ำแก้จน"ประกอบด้วย
การพัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่ที่มีความเหมาะสม ปรับปรุงแหล่งน้ำเดิมและแก้มลิงธรรมชาติ
ให้สามารถเก็บกักน้ำได้เต็มศักยภาพ การขุดสระน้ำ เก็บน้ำให้กับหมู่บ้านจำนวน
25,000 แห่ง สร้างระบบโครงข่ายเชื่อมโยงน้ำจาดแหล่งน้ำที่มีมากไปยังลำน้ำหรือแหล่งเก็บกักน้ำมีน้อยอย่างเป็นระบบ
และการจัดทำระบบฐานข้อมูลด้านการผลิต
นอกจากนั้น
ยังมีมตรการในการบริหารจัดการที่นำไปสู่ความสำเร็จ ได้แก่การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจักการแหล่ง
และการกระจายน้ำ การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อน และระบบส่งน้ำของกรมชลประทาน
สำหรับใช้ในการสูบน้ำตามโครงข่ายน้ำ ที่มีข้อจำกัดจากสภาพภูมิประเทศ
ซึ่งจะช่วยลดภาระของรัฐและเกษตรกรได้โดยตรง
ที่สำคัญ
ต้องมีการแบ่งพื้นที่ทำการเกษตรตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่และปริมาณน้ำต้นทุนจากระบบชลประทาน
โดยสามารถจัดพื้นที่การเกษตรเป็น 3 ประทศ คือพื้นที่ชลประทานที่มีระบบที่สมบูรณื
เพิ่มจาก 22 ล้านไร่ เป้น 33 ล้านไร่ พื้นที่ชลประทานที่เหมาะสมกับพืชที่ใช้น้ำน้อย
25 ล้านไร่ พื้นที่ทำการเกษตรแบบยังชีพและการอุปโภคบริโภค 73 ล้านไร่
ลักษณะและความก้าวหน้าโครงการน้ำแก้จน
ลักษณะโครงการ
โครงกาน้ำแก้จนเป็นโครงการที่มุ่งหวังการพัฒนาและบริหารการใช้ประโยชน์จากน้ำ
และป้องกันภัยธรรมชาติที่เกิดจากน้ำให้กับเกษตรกรอย่างทั่วถึงและเพียงพอ
ซึ่งมีเป้าหมายรวมเพื่อให้เกษตรกรมีความมั่งคั่งและมั่นคง
เป้าหมายโครงการ
เพื่อให้มีน้ำใช้อย่างเพียงพอและทั่วถึง
เพื่อให้การใช้น้ำเกิดประโยชน์สูงสุดในทุกๆด้าน
เพื่อให้ได้ผลผลิตด้านการเกษตรกรรมและรายได้ของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น
เพื่อให้ภาครัฐและเอกชนร่วมกันพัฒนาการใช้และเกษตรกรรมแบบบูรณาการ
องค์ประกอบของโครงการ
โครงสร้างพื้นฐาน(Hardware)
1.1
แหล่งเก็บกักน้ำ ได้แก่ อ่างเก็บน้ำทุกขนาด จนถึงสระน้ำชุมชน
1.2 ระบบส่งน้ำ ได้แก่ แม่น้ำ คลอง
หรือท่อ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีแหล่งกักเก็บน้ำอยู่แล้วเพื่อส่งน้ำให้กับพื้นที่การเกษตร
และอื่นๆ
1.3 การพัฒนาระดับแปลงนา ได้แก่ คัน-คูน้ำ
และการจัดรูปที่ดิน
1.4 ระบบระบายน้ำ ได้แก่ แม่น้ำ ลำห้วย
และลำคลอง เพื่อระบายน้ำจากพื้นที่การเกษตรและพื้นที่ชุมชนอื่นๆ
เพื่อป้องกันบรรเทาน้ำท่วม
1.5 ไฟฟ้าพลังน้ำจาดเขื่อนและระบบชลประทาน
เพื่อนำพลังงานที่ได้ไปใช้ในการสูบน้ำผ่านระบบท่อขึ้นพื้นที่สูง
1.6 โครงข่ายน้ำ ได้แก่ แม่น้ำ ลำห้วย
ลำคลอง หรือเป็นระบบท่อ เพื่อเชื่อมระหว่างแหล่งน้ำที่มีน้ำมากกับแหล่งเก็บกักน้ำหรือพื้นที่ที่ต้องการน้ำ
เป้าหมาย
* เพิ่มปริมาณน้ำกักเก็บอีก 20,500
ล้านลูกบาศก์เมตร
* เพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 11 ล้านไร่
และพื้นที่รับประโยชน์ 25 ล้านไร่ พื้นที่ได้รับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและเกษตรยังชีพอีก
73 ล้านไร่
* เพิ่มประสิทธิภาพการส่งน้ำอีกร้อยละ12
* ลดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
การจัดการ(Software)
2.1 การจัดสรรน้ำและควบคุมน้ำตลอดเวลา
เช่น การกำหนดเกณฑ์การควบคุมน้ำในอ่างเก็บน้ำ การบันทึกระดับน้ำแบบอัตโนมัติ
เป็นต้น
2.2 การบำรุงรักษาระบบชลประทานอย่างต่อเนื่อง
เพื่อให้การใช้อาคารมีประสิทธิภาพ
2.3 การใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม เช่น
การชลประทานระบบท่อ การใช้ระบบโทรมาตร และระบบ ณธ เพิ่มขึ้น
2.4 ปรับปรุงวิธีการและวางแผนการให้น้ำเพื่อการเกษตรแบบบูรณาการ
เป้าหมาย
* ประหยัดน้ำ
* ประหยัดงบประมาณ ทั้งเจ้าหน้าที่และการบำรุงรักษาในระยะยาว
* เพิ่มผลการผลิต
ผู้ดำเนินการ(Human ware)
3.1
กรมชลประทาน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการบริหารจัดการน้ำ
3.2 กรมพัฒนาที่ดิน ได้แก่ การบริหารแหล่งน้ำในระดับแปลงนาและการบริหารดิน
3.3 กรมวิชาการเกษตรและกรมส่งเสริมการเกษตร
ได้แก่ การจัดพันธุ์พืชที่เหมาะสม
3.4 กรมส่งเสริมสหกรณ์ บริหารสหกรณ์ผู้ใช้น้ำ/สหกรณ์การเกษตร
3.5 เอกชน หรือกลุ่มผู้ใช้น้ำ ร่วมกันบริหารทรัพยากรการผลิตภาครัฐ
เป้าหมาย
* การมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานและผู้ได้รับผลกระทบ
* การใช้ประโยชน์จากปัจจัยการผลิตพื้นฐานอย่างมีประสิทธิภาพ
แผนการดำเนินการแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
ระยะแรก เป็นการศึกษาเพื่อจัดทำแผนหลักของโครงการพัฒนาโครงข่ายน้ำฯ
โดยการรวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลด้านแหล่งเก็บกักน้ำด้านการเกษตร ความต้องการน้ำทั้งหมดในทุกๆ
ด้านกำหนดจุดก่อสร้างสระน้ำ วางระบบโครงข่ายน้ำ จัดลำดับความสำคัญของโครงการ
รูปแบบการทำเกษตรกรรมแบบบูรณาการและกำหนดโซนนิ่ง(Zoning) การใช้พื้นที่การเกษตร
ค่าลงทุนและวิเคราะห์ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ และการศึกษาเพื่อจัดทำแผนหลักและพัฒนาไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนและระบบชลประทาน
ระยะเวลา 6 เดือน
ระยะที่ 2 ศึกษาในรายละเอียดเป็นโครงการ
เพื่อให้ได้แบบวิศวกรรมที่มีความพร้อมจะนำไปก่อสร้างได้ แนวทางการบริหารโครงการและผลกระทบสิ่งแวดล้อมและแนวทางแก้ไข
ใช้เวลาการศึกษา 24 เดือน ในขณะเดียวกันโครงการที่มีความพร้อมจากผลที่ได้จากการศึกษาแผนหลัก
ก็สามารถก่อสร้างไปพร้อมกันได้
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
โครงการพัฒนาโครงข่ายน้ำ
จะต้องมีการพัฒนาต่อไปอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีปริมาณน้ำสมดุลกับความต้องการด้านการเกษตรและอื่นๆ
ทั้งหมด โดยในปัจจุบันงานพัฒนาแหล่งน้ำที่กรมชลประทานดำเนินการอยู่ในขณะนี้
หากดำเนินการตามปกติแล้ส คาดว่าอีก 2 0 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นเป็น
40 ล้านไร่ และถ้าจะให้มีพื้นที่ชลประทานเป็น 58 ล้านไร่ ตามเป้าหมายของโครงการ
คงต้องใช้เวลามากกว่า 50 ปี แต่จากโครงการฯ นี้ หากสามารถดำเนินการต่อไปได้
จะทำให้การพัฒนาพื้นที่ชลประทานได้เร็วกว่าเดิม อาจใช้เวลาไม่เกิน
20 ปี ที่จะทำให้ระบบชลประทานครอบคลุมพื้นที่เกษตรทั้งหมด
จากผลของการดำเนินโครงการ คาดว่าจะทำให้จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ปีละไม่น้อยกว่า
120,000 บาทต่อครัวเรือน จากจำนวน5.65 ล้านครัวเรือนหรือรวมทั้งหมด
ปีละประมาณ 678,000 ล้านบาท อันจะนำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของเกษตรกรและส่งผลรวมไปถึงความมั่นคงทางเศรษกิจและสังคมของประเทศชาติในที่สุด